ตอนที่ Louis Vuitton สาขาญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปี 1978 ในตลาดแบรนด์ไฮคลาสมีตัวแทนนำเข้ารายย่อยและตัวแทนจำหน่ายของเลียนแบบรังควานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น การจัดส่งสินค้าด้วยช่องทางกระจายสินค้าที่ถูกต้องก็ยังไม่ครอบคลุม และราคายังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลักษณะเหมือนกับผู้คนกำลังกระหายที่จะบริโภคแบรนด์ไฮคลาส ตลาดของสินค้านำเข้ารายย่อยที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้เคยฉวยโอกาสตอนที่สินค้าไม่พอตั้งราคาแพงกว่าราคาที่ขายในยุโรปถึง 3 เท่า ทั้งๆ ที่ตอนนั้นทั้งบริษัท ร้านขายส่ง และห้างสรรพสินค้าที่อยู่เส้นทางการกระจายสินค้าที่ถูกต้องกำหนดราคาสินค้าที่นำเข้าจากยุโรป เพิ่มขึ้นเพียง 2-2.5 เท่า ของราคาจริงเท่านั้น การที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้ทำให้แบรนด์ที่มีความเป็นมืออาชีพอย่าง Louis Vuitton แลดูเป็นมือสมัครเล่นไปในทันที ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิรูปวัฒนธรรมทางการค้าของญี่ปุ่นอย่างจริงจัง
ระบบการกระจายสินค้าของญี่ปุ่นมีเป้าหมายหลัก คือ เน้นเรื่องการควบคุมความเสี่ยงของสต๊อก กล่าวคือ ในการเก็บสต๊อกสินค้าจะต้องรับภาระเรื่องการประกันสินค้า ซึ่งในส่วนนี้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ถือเป็นต้นทุนซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนกลางของสินค้าสูงขึ้น ทั้งส่วนของภาษี ศุลกากร (โดยเฉพาะกระเป๋าที่ทำจากหนัง) และค่าขนส่ง เช่น ค่ากระจายสินค้า ฮาตะ เคียวจิโร่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีศุลกากรและค่าขนส่ง แต่ทั้งหมดเป็นระบบตลาดที่สามารถขายด้วยราคาที่เหมาะสมโดยการกำจัดต้นทุนกลาง
ถ้าพูดถึงรูปแบบของธุรกิจแบรนด์ในตอนนั้น แทบทั้งหมดเป็นการนำเข้าอย่างอิสระที่ขึ้นอยู่กับตัวแทนจำหน่าย หรือไม่ก็เป็นการผลิตแบบมีใบอนุญาตดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ รูปแบบของร้านที่บริหารเอง (ไม่ขึ้นกับบริษัทเจ้าของแบรนด์-ผู้เรียบเรียง) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายในญี่ปุ่นโดยตรง ถึงจะพยายามแค่ไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ รู้สึกว่าจะถูกปฏิเสธจากอุตสาหกรรมค้าปลีกด้วย แต่ฮาตะ เคียวจิโร่ยังคงท้าทาย และตั้งใจว่าจะสร้างความสัมพันธ์กับทั้งร้านค้าปลีกและร้านขายส่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่ และในที่สุดเขาก็สร้างระบบนี้ขึ้นมาสำเร็จ
การสร้างระบบให้ห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งสามารถสั่งซื้อกระเป๋า Louis Vuitton ผ่านร้านสาขาที่ปารีสซึ่งรับผิดชอบกระเป๋ารุ่นต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสไม่จำเป็นต้องแบกภาระเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดต่อระหว่างประเทศ บริษัทที่ญี่ปุ่นก็เปลี่ยนสถานะจากที่เป็นเพียงตัวแทนนำเข้า เป็นสถานที่สำคัญขึ้น คือ ต้องควบคุมแบรนด์แทน ห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งจึงต้องทำสัญญาว่าด้วยเรื่องการอบรมพนักงานขาย การกำหนดราคา การบรรจุหีบห่อ การออกแบบป้ายราคา การตกแต่งภายในร้าน จนถึงการโฆษณาทั้งหมดจะทำตามแนวนโยบายของ Louis Vuitton เครื่องแบบของพนักงานขายก็ต้องใส่เครื่องแบบของ Louis Vuitton เช่นกัน
การป้อนรูปแบบร้านที่บริหารเองเข้าไปในอุตสาหกรรมในตอนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถรักษาระดับราคากระเป๋าของ Louis Vuitton ภายในประเทศให้คงที่ ผลที่เกิดขึ้นหลังจากป้อนแนวคิดให้ลูกค้าว่า แบรนด์ = ความน่าเชื่อถือ ทำให้แบรนด์ส่วนใหญ่นำกลยุทธ์การขายแบบเดียวกับ Louis Vuitton ไปใช้ด้วย ปัจจุบันรูปแบบการติดต่อของแบรนด์ซึ่งมีห้างสรรพสินค้าและบริษัทในญี่ปุ่นเป็นศูนย์กลาง ได้เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะต่างๆ แต่รูปแบบของร้านที่บริหารด้วยตัวเองก็ยังถือเป็นแม่แบบสำหรับทุกแบรนด์
กลยุทธ์ใหม่ๆ และการท้าทายโดยปราศจากกรอบของประเพณี และเส้นทางเดิมๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ที่ชื่อว่า Louis Vuitton มากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายรูปแบบ ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซึ่งต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวมีเรื่องให้ต้องขบคิดทุกวัน หากได้เรียนรู้รูปแบบการกระจายสินค้าจาก Louis Vuitton อาจจะมีไอเดียอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง
